tag:blogger.com,1999:blog-52471982131944940222024-03-18T22:06:38.043-07:00คำสแลงSukanya Dokmaihttp://www.blogger.com/profile/00129697684863405312noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-5247198213194494022.post-34811817278756546502013-01-07T22:24:00.002-08:002013-01-07T22:24:22.830-08:00อาหารภาคเหนือ <div style="text-align: center;">
<span style="background-color: yellow; color: #cc0000; font-family: "Courier New", Courier, monospace; font-size: x-large;"><strong>"อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ"</strong></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: #9fc5e8;"><span style="font-family: Courier New;"> </span><span style="font-family: "Courier New", Courier, monospace;">ในบริเวณพื้นที่ภาคเหนือของไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามาก่อน ช่วงที่อาณาจักรแห่งนี้เรืองอำนาจ ได้แผ่ขยายอาณาเขตเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และมีผู้คนจากดินแดนต่างๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในชีวิตประจำวันรวมทั้งอาหารการกินด้วย อาหารของภาคเหนือ ประกอบด้วยข้าวเหนียว เป็นอาหารหลัก มีน้ำพริกชนิดต่างๆ เช่น น้ำพริกหนุ่ม นำ้พริกอ่อง มีแกงหลายชนิด เช่น แกงโฮะ แกงแค นอกจากนั้นยังมีแหนม ไส้อั่ว แคบหมูและผักต่างๆ สภาพอากาศก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อาหารพื้นบ้านภาคเหนือแตกต่างจากภาคอื่นๆ นั่นคือ การที่อากาศหนาวเย็นเป็นเหตุผลให้อาหารส่วนใหญ่มีไขมันมาก เช่น น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล ไส้อั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งการที่อาศัยอยู่ในหุบเขาและบนที่สูงอยู่ใกล้กับป่า จึงนิยมนำพันธ์ุ์ในป่ามาปรุงเป็นอาหาร เช่น ผักแค บอน หยวกล้วย ผักหวาน ทำให้เกิดอาหารพื้นบ้าน ชื่อต่างๆ เช่น แกงแค แกงหยวกกล้วย แกงบอน </span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: #9fc5e8; font-family: "Courier New", Courier, monospace;"></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="font-family: "Courier New", Courier, monospace;"><br /><span style="background-color: #9fc5e8;"></span></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: #9fc5e8;"></span></div>
<div style="text-align: left;">
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiN5eqY0GTZzTvjDcW4sDuYV3fdFQ5mT5s7ffohZEm1wPoDZIhUfR3lRdUOj4OLIASAiWnZM6i_KfSDdDFPdfcdQ73OEMsPvYkvfF1p3abXZ7OC3_jTcF8KnPabMGYQhgFAAgsb2eSh0koU/s1600/12_2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiN5eqY0GTZzTvjDcW4sDuYV3fdFQ5mT5s7ffohZEm1wPoDZIhUfR3lRdUOj4OLIASAiWnZM6i_KfSDdDFPdfcdQ73OEMsPvYkvfF1p3abXZ7OC3_jTcF8KnPabMGYQhgFAAgsb2eSh0koU/s1600/12_2.jpg" eea="true" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><strong><em>น้ำพริกหนุ่ม</em></strong></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: #9fc5e8;"> <span style="font-family: "Courier New", Courier, monospace;">อาหารพื้นบ้านภาคเหนือมีความพิเศษตรงที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมการกินจากหลานกลุ่มชน เช่น ไทใหญ่ จีนฮ่อ ไทลื้อ และคนพื้นเมือง </span></span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: #d9ead3;">ที่มา : </span><a href="http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/76.html"><span style="background-color: #d9ead3;">http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/76.html</span></a><span style="background-color: #d9ead3;"> </span></div>
Sukanya Dokmaihttp://www.blogger.com/profile/00129697684863405312noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-5247198213194494022.post-71451513703064901972013-01-03T23:46:00.001-08:002013-01-03T23:46:28.189-08:00ความหมายของคำสแลง <div style="text-align: center;">
<span style="font-family: "Courier New", Courier, monospace; font-size: x-large;">คำสแลง หรือคำคะนอง</span></div>
<br />
ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอคือ เกิดขึ้น ตั้ง อยู่ และเสื่อมสูญไปเช่นเดียวกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ปัจจุบันมีภาษาเกิดขึ้นใหม่ ไม่ขาดสาย ตามวิวัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรมเช่น ภาษาวิชาการ ภาษาเฉพาะ วิชาชีพ ภาษาที่ใช้เรียกสิ่งที่เป็นนวัตกรรมต่าง ๆ เป็นต้น และมีภาษาอีก ลักษณะหนึ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มคนในสังคม เป็นภาษาที่สร้างสีสัน สร้าง ความแปลกใหม่ ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มในเวลาสั้น ๆ แล้วเสื่อมสูญไป ภาษา ชนิดนี้เรียกว่า ภาษาสแลง คำสแลง หรือคำคะนอง<br />
<span> </span> ภาษาสแลง คำสแลงหรือคำคะนองได้มีผู้ให้ความหมายไว้มากมายทั้งที่เป็นพจนานุกรม ผลงาน เอกสาร ตำรา และงานวิจัย เช่น <br /> <br /> พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน(1) อธิบายความหมายของคำสแลงว่าถ้อยคำหรือ สำนวนที่ใช้เข้าใจเฉพาะกลุ่มหรือชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่ใช่ภาษาที่ยอมรับกันว่าถูกต้อง <br /> <br /> พจนานุกรมของ Webster(2) อธิบายความหมายของคำสแลงว่าเป็นคำเฉพาะ กลุ่ม เป็นภาษาไม่สุภาพ มีระยะเวลาใช้คำเหล่านี้ไม่นานก็จะหายไป หรือ เปลี่ยนไปและเป็นคำเกิดใหม่ตลอดเวลา<br /> <br /> พจนานุกรมของ Grolier(3) อธิบายความหมายของคำสแลงว่าเป็นคำสร้างใหม่ มี ระยะเวลาใช้ไม่นาน เป็นการใช้ภาษาเพื่อให้เกิดภาพ พจน์ (Figure of Speech) เป็นคำที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม<br /> <br /> พจนานุกรมคำเหมือนคำตรงข้าม(4) อธิบายความหมายของคำสแลงว่าเป็นคำ ตลาด และเป็นภาษาที่ใช้เฉพาะกลุ่ม เฉพาะอาชีพใดอาชีพหนึ่ง หรือเป็นรหัสของ ขโมยหรือโจร<br /> <br /> สอ เสถบุตร(5) อธิบายความหมายของคำสแลงว่าคือ คำที่ใช้กันทั่วไป แต่ ไม่ถูกต้องตามหลักของภาษาและมักใช้กันชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น, คำ ตลาด, ถ้อยคำที่ใช้เข้าใจกันเฉพาะชนหมู่ใดหมู่หนึ่ง เช่น คำพูดแปลก ๆ ของ นักเรียนและทหาร เป็นต้น<br /> <br /> นอกจากพจนานุกรมที่ยกตัวอย่างข้างต้นแล้ว ยังมีผลงานตำราที่ให้ความหมายคำสแลงไว้ดังนี้<br /> <br /> ผะอบ โปษกฤษณะ(6) กล่าวว่า คำสแลงคือ คำที่ตั้งตามอารมณ์ เด็กวัยรุ่น คำเหล่านี้เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็หายไปเช่น เป็นไงเลย จิ๊กโก๊ จมไปเลย กระดูกขัดมัน สะบัดช่อปิ้ง ฯลฯ <br /> <br /> สมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา(7) เรียกคำสแลงว่า “คำคะนอง”และกล่าวว่า คำสแลงเป็นภาษาปาก เป็นภาษาไม่เป็นแบบแผน แต่ไม่ใช่คำต่ำ หรือ คำหยาบ เป็นคำพิเศษเฉพาะกลุ่มที่สร้างขึ้นเพื่อให้มี คำแปลกๆสร้างความสนุก สนาน ระดับคำมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลสมัย<br /> <br /> สุดาพร ลักษณียนาวิน(8) กล่าวว่า คำสแลงเกิดจากความรู้สึกเบื่อในการ ใช้คำซ้ำแล้วซ้ำอีก คำสแลงยังเป็นสมบัติของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด เพื่อแสดง ความเป็นสมาชิกในกลุ่ม และมีระยะเวลาในการใช้คำสแลงไม่นาน<br /> <br /> บุญยงค์ เกศเทศ(9) กล่าวว่า คำสแลงเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เป็น ภาษาพูดที่นิยมกันในบางหมู่คณะ บางกรณีก็ต้องพูดเพื่อให้ออกรส จึงพยายาม สร้างรูปภาษาให้แปลกออกไป คำสแลงมักไม่ติดอยู่ในภาษานานนัก เมื่อคำหนึ่งหาย ตายไปก็มักนิยมคำใหม่ขึ้นแทน คำสแลงนั้นมีใช้กันมาทุกยุคทุก สมัย เช่น มันส์ เดิ้ล หย่อย สะเหล่อ ยากส์ ซ่า ส์ บ๊องส์ ฟู่ฟ่า เก๋ากึ๊กก์ เซ็งระเบิด<br /> <br />
โดยสรุปภาษาสแลง คำสแลง หรือคำคะนอง (Slang)คือถ้อยคำ สำนวน หรือภาษาพูดที่ใช้สร้างความเข้าใจเฉพาะกลุ่มซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว เป็นภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ ภาษาไม่สุภาพ เป็นภาษาไม่เป็นแบบแผน แต่ไม่ใช่คำหยาบหรือ คำต่ำ แต่เป็นคำ พิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดคำแปลก ๆ ผิดไปจากปรกติทั้งด้านเสียง รูป คำ และความหมายเป็นภาษาที่ไม่ปรากฏในพจนานุกรม หรือปรากฏในพจนานุกรมแต่ระบุ ว่าเป็นภาษาปาก คำสแลงมีระยะเวลาการใช้ไม่นานก็จะสูญหาย ไปเพราะหมด ความนิยม<br /> <br /> จากลักษณะเฉพาะและความสำคัญของภาษาสแลง คำสแลงหรือคำคะนอง ดังกล่าวมา แล้วข้างต้น ได้ทำให้ผู้เขียนสนใจศึกษาภาษาชนิดนี้ โดยเฉพาะเก็บรวบรวม ข้อมูลจากกลุ่มวัยรุ่น และสื่อต่าง ๆ<br />เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และคอมพิวเตอร์ ในช่วง ปี 2540 – 2545 แล้วนำมาวิเคราะห์ประเภท การสร้าง ที่มาและความหมายของคำ สแลง<br /> <br />
<br /> <br />
ที่มา : <a href="http://www.gotoknow.org/posts/413955">http://www.gotoknow.org/posts/413955</a><br /> Sukanya Dokmaihttp://www.blogger.com/profile/00129697684863405312noreply@blogger.com3